7 วิธีคลายเครียด เพิ่มพลังแห่งความสุข

    กำลังเครียดหนัก เครียดจนนอนไม่หลับหรือเปล่าคะ ? ผลกระทบจากสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ณ ขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์การแพร่กระจายของโรคโควิด-19 สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และผลกระทบอื่น ๆ จำนวนมาก ทำให้ผู้คนจะต้องแบกรับกับภาระที่หนักอึ้ง ทั้งภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ปัญหาการว่างงาน และปัญหาอื่น ๆ ร่วมด้วย สั่งสมมานานจนเกิดผลกระทบต่อสภาพจิตใจที่ตัวบุคคล นี่จึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดว่า ทำไมอัตราของผู้ที่เป็นโรคเครียดนั้นจึงมีสถิติที่เพิ่มขึ้นในทุก ๆ วัน ก่อนอื่นที่่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาด้วยการมองหากิจกรรมคลายเครียดง่าย ๆ ไม่ต้องพึงยานอนหลับ เพื่อช่วยลดความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา เรามาเริ่มทำความรู้จักกับ สภาวะความเครียดไปพร้อม ๆ กันนะคะ

ความเครียดคืออะไร

    สภาวะความเครียด คือ สภาวะทางอารมณ์และความรู้สึกที่ถูกกระตุ้นด้วยความกดดัน ความกลัว ความวิตกกังวล จนกระทั้งส่งผลต่อสภาพร่างกาย จิตใจ อารมณ์และความรู้สึก ทำให้เกิดการแสดงออกด้วยพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น หงุดหงิดง่าย โมโหร้ายตลอดเวลา เป็นต้น เมื่อไหร่ที่คุณเริ่มใช้สมองในการคิดวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ รอบตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เกิดเป็นความเครียดเท่ากับคุณกำลังเริ่มทำลายการทำงานของระบบประสาทและสมองของคุณอย่างที่คาดไม่ถึง เพราะนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้การทำงานของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายผิดปกติ เริ่มจากการผลิตหรือการหลั่งฮอร์โมนที่ผิดเพี้ยน ความเหนื่อยล้าของร่างกาย เริ่มเกิดอาการปวดเมื่อยบริเวณท้ายทอย การทำงานของลำไส้แปรปรวน ปวดศีรษะเป็นเวลานาน และยิ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการเครียดนอนไม่หลับ เครียดลงกระเพาะได้

    ด้วยความน่ากลัวของสภาวะความเครียดที่มีพอ ๆ กับความน่ากลัวของสภาพแวดล้อม ณ ขณะนี้ สิ่งที่จะเข้ามาช่วยบรรเทาความตึงเครียดจากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ นั่นก็คือหาจัดสรรกิจกรรมคลายเครียดให้กับตนเองเพื่อสามารถรับมือกับความเครียดและสามารถขจัดความเครียด ก่อให้เกิดวิถีแห่งความสุขและคุณภาพชีิวิตที่ดีขึ้น เมื่อไม่มีความเครียด

และนี่คือ 7 วิธีคลายเครียด เพิ่มพลังแห่งความสุขให้พร้อมสู้ชีวิต มีดังนี้

สิ่งที่ควรทำ

1. ตื่นและเข้านอนเวลาเดิมทุกวัน

        สาเหตุหลักที่มักจะทำให้อารมณ์ของเราแปรปรวนจนกระทั้งเกิดความเครียดที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ สาเหตุนั่นคือการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอหรือร่างกายไม่ได้รับการนอนหลับที่เต็มอิ่ม ทำให้สภาพร่างกายและจิตใจของเราเหนื่อยล้า เกิดการหลั่งฮอร์โมนที่มากเกินความจำเป็นที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดความเครียดนอนไม่หลับ ดังนั้น หากต้องการขจัดความเครียดออกไปจากร่างกายและจิตใจของเรา จะต้องอาศัยวิธีการตื่นและเข้านอนในเวลาเดิมทุกวัน จนกระทั้งทำให้ร่างกายสามารถปรับนาฬิกาชีวิตได้อย่างสมดุล เมื่อตื่นนอนในตอนกลางวันจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าสดใสร่าเริง

        ซึ่งการตื่นนอนตอนเช้าและเข้านอนในเวลาเดิมทุกวัน จะต้องปรับวิธีการนอนให้เป็นไปตามสภาวะธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ใช่การตื่นทำงานในตอนกลางคืนและชดเชยการนอนหลับในตอนกลางวัน เพราะกลไกการทำงานของร่างกายเรานั้น ถูกกำหนดเวลาในการทำงานของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายไว้แล้ว เวลาที่เหมาะสมในการเข้านอนมากที่สุดคือ ช่วง 4 ทุ่ม และเวลาตื่นนอนที่เหมาะสมที่สุดคือ ช่วง ตี 5 - 6 โมงเช้า นั่นก็เพราะว่าการหลั่งฮอร์โมนต่าง ๆ ภายในร่างกายของเรานั้น มีระยะเวลาของการทำงานเป็นตัวกำหนด ทิสโก้ออโต้แคช ขอยกตัวอย่างการทำงานของฮอร์โมนในร่างกายที่บ่งบอกว่า ทำไมเราจึงต้องนอนและตื่นในเวลาเดียวกันทุก ๆ วัน นั่นก็คือ

ตัวอย่างฮอร์โมนช่วยลดความเครียด

  • เมลาโทนิน หรือที่ใคร ๆ เรียกว่า ฮอร์โมนแห่งการนอนหลับ เพราะเป็นฮอร์โมนที่ช่วยกระตุ้นให้เราเกิดความรู้สึกง่วงนอน ต้องการพักผ่อน ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้จะถูกหลั่งออกมาได้ดีในช่วงเวลา 5 ทุ่ม ถึง ตี 1 โดยกฎธรรมชาติฮอร์โมนเมลาโทนินจะถูกกระตุ้นการทำงานในช่วงเวลาที่มืด ตั้งแต่ช่วงเย็นจนกระทั้งกลางดึกและจะค่อย ๆ หยุดการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนินในตอนที่แสงสว่างกำลังเข้ามา ฮอร์โมนเมลาโทนิน จึงเป็นฮอร์โมนที่ช่วยปรับสมดุลเวลาในการนอนหลับสนิทหรือนอนหลับลึกได้ดี

  • โกรทฮอร์โมน ฮอร์โมนที่ช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของร่างกายหรือยับยั้งความแก่ชราของเรานี่เอง โกรทฮอร์โมนถูกสร้างขึ้นเพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยย่อยสลายน้ำตาลและไขมัน รวมถึงสร้างกล้ามเนื้อที่แข็งแรง โกรทฮอร์โมนจะถูกกระตุ้นออกมาได้ดีมากที่สุดในช่วง 5 ทุ่ม ถึงตี 1 จึงเป็นหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องเข้านอนตั้งแต่ช่วง 4 ทุ่ม

2. ดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล

        เมื่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของเราอยู่ในสภาวะที่สมดุล ถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เราสามารถถอยห่างจากความเครียดได้ กิจวัตรประจำวันในทุก ๆ วันที่กระทำจนเป็นสุขนิสัยติดตัวมาตั้งแต่เด็ก อีกหนึ่งความสำคัญที่เป็นเหตุผลของสุขภาพร่างกายและจิตใจที่ดี สิ่งที่เรามักกระทำเป็นประจำสม่ำเสมอเพื่อช่วยขจัดความเครียดได้นั้น คือการดูแลสุขอนามัยของเราให้ดี ซึ่งการจะดูแลสุขอนามัยให้ถูกหลัก สามารถปฏิบัติได้ตามหลักสุขบัญญัติแห่งชาติ 10 ประการ ดังนี้

    1 ดูแลรักษาร่างกายและของใช้ให้สะอาด  

    2 รักษาฟันให้แข็งแรงและแปรงฟันทุกวันอย่างถูกต้อง 

    3 ล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหารและหลังการขับถ่าย 

    4 กินอาหารสุกสะอาด ปราศจากสารอันตรายและหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด

    5 งดบุหรี่ สุรา สารเสพติด การพนัน และการสำส่อนทางเพศ 

    6 สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น 

    7 ป้องกันอุบัติภัยด้วยการไม่ประมาท 

    8 ออกกำลังกายสม่ำเสมอและตรวจสุขภาพประจำปี 

    9 ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ 

    10 มีสำนึกต่อส่วนรวม ร่วมสร้างสรรค์สังคม

    อ้างอิงข้อมูลจาก กองสุขศึกษา

        เมื่อเราสามารถปลูกฝังพฤติกรรมการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลได้ครบ 10 ประการดังกล่าว นั่นคือ สิ่งที่สามารถช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิต เพิ่มพลังแห่งความสุข ขจัดความทุกข์ ลดความเครียดได้แน่นอนค่ะ

3. กินอาหารที่มีประโยชน์ให้ตรงเวลา

       ยิ่งเครียด ยิ่งมองหาอาหารเข้าปาก นี่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกาย เมื่อเกิดความเครียดสะสมเป็นระยะเวลานาน ยิ่งเครียดก็ยิ่งทานเยอะขึ้นไปเรื่อย ๆ หลาย ๆ คนคงมองว่าการรับประทานอาหารในปริมาณที่มากเพื่อช่วยลดความตึงเครียดนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่จะเลือกรับประทานอาหารอย่างไรต่างหากที่จะช่วยลดความเครียดได้จริง แถมเป็นการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงด้วย ทิสโก้ออโต้แคช เราขอแนะนำกิจกรรมคลายเครียดสนุก ๆ ในการเลือกสรรอาหารที่จะรับประทานเพื่อลดความเครียด เพิ่มความสุขให้แก่ตัวเรา และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารต้องห้ามที่สร้างความเครียดเพิ่มให้แก่ตัวเรา นั่นก็คือ

3 สารอาหารที่ช่วยลดความเครียด

  • วิตามินบี ขึ้นชื่อเรื่องระบบการทำงานของประสาทและสมองเป็นสารอาหารที่จะช่วยยับยั้งความเครียด พร้อมการเผาผลาญไขมันและคาร์โบไฮเดรตให้เป็นพลังงานที่มีประสทธิภาพมากที่สุด

  • วิตามินอี เป็นสารอาหารที่ใช้ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด ตัวช่วยสำคัญในการป้องกันความเครียด สามารถลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ โรคมะเร็ง รวมถึงชะลอความเสี่ยมโทรมของสภาพร่างกายที่เกิดจากความเครียดได้ด้วย

  • แมกนีเซียม เมื่อไหร่ที่เราเกิดความเครียด ร่างกายของเราจะเริ่มดึงแมกนีเซียมออกมาใช้ จนทำให้ระดับแมกนีเซียมภายในร่ายกายต่ำลงไปเรื่อย ๆ สิ่งสำคัญ เราจึงควรรักษาระดับแมกนีเซียมในร่างกายของเราเพื่อช่วยรักษาสมดุลร่างกายและทำให้ผ่อนคลายจากความเครียด

3 สารอาหารต้องห้ามที่เพิ่มความเครียด

  • คาเฟอีน สารอาหารที่มักทำให้เราเสพติดไม่สามารถเลิกทานได้ คาเฟอีน จึงเป็นสารพิษชั้นดีที่จะไปกระตุ้นต่อมความเครียดของเราให้เพิ่มขึ้น เมื่อเราขาดการทานคาเฟอีนและทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเราเสียสมดุล

  • อาหารที่มีโซเดียมสูง เมื่อรับประทานโซเดียมในจำนวนที่มากเกินความจำเป็น จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายบวมเพราะเก็บสะสมน้ำมากจนเกินไป สภาวะดังกล่าวจะไปกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความเครียดได้โดยไม่รู้ตัว

  • อาหารที่มีไขมันสูง จะสร้างฮอร์โมนที่เป็นสัญญาณใช้ในการกระตุ้นความเครียดชั้นดี เมื่อร่างกายได้รับอาหารที่มีไขมันสูงกว่าปกติเป็นสาเหตุที่จะทำให้คุณรู้สึกถึงความไม่สบายตัวเพราะการย่อยสลายอาหารนั้นช้ากว่าปกติหรือไม่ย่อยเลย จึงทำให้เป็นตัวช่วยสำคัญที่เกิดความเครียดอย่างไม่รู้จบ

4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

        ขยับร่างกายเพียงเล็กน้อยเท่ากับช่วยผ่อนคลายความเครียด อีกหนึ่งกิจกรรมคลายเครียดเพื่อเสริมสร้างความสุข แค่เคลื่อนไหวร่างกายด้วยท่าทางง่าย ๆ อย่างการยืดเส้นยืดสาย เดินไปเข้าห้องน้ำ การแกว่งแขนไปมา เพียงแค่ 3 - 5 นาทีก็ช่วยลดความเครียดได้ไปอีกนาน หรือการออกกำลังกายอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการเล่นโยคะ การวิ่ง การว่ายน้ำ และสาระพัดวิธีมากมายในการออกกำลังกายที่จะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารชนิดหนึ่งออกมาที่เรียกว่า โดพามีน เป็นสารเคมีในสมองที่ช่วยทำให้คุณเกิดความรู้สึกมีความสุข กระปรี้กระเปร่า รวมทั้งอัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้นจากการออกกำลังกายจะช่วยทำให้สามารถลดความเครียดได้ พร้อมทั้งผลิตฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ช่วยลดต้นตอปัญหาที่เกิดจากความเครียด ซึ่งการออกกำลังกายนั้นไม่จำเป็นต้องออกกำลังในทุก ๆ วัน แต่ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องเพื่อฟื้นฟูอาการเหนื่อยล้าจากความเครียด แต่ต้องระวังในการออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายแต่พอดี ไม่ควรหักโหมจนเกินไปเพราะจากผลดีจะกลายเป็นผลร้ายได้

5. จัดสรรเวลาสำหรับการทำงานและการพักผ่อน

        รู้หรือไม่ การทำงานในแต่ละวัน หากไม่ได้จัดสรรเวลา ระวังความเครียดเข้ามาคืบคลานแทนที่ความสดใสร่าเริงในการทำงานของเรา แน่นอนว่า ในหนึ่งวัน เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่เป็นเวลาในการทำงานไม่เพียงพอต่อภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในการทำงาน หากไม่ได้จัดสรรเวลาที่ชัดเจน อีกทั้งคนเราะสามารถนั่งหรือยืนทำงานเป็นเวลานาน ๆ ได้จริงหรือ เมื่อคำถามนี้ ได้ถูกพิสูจน์ว่าการจดจ่อทำงานในหลาย ๆ ชั่วโมงติดต่อกันนาน ๆ นั้นไม่ได้ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพเท่ากับการทำงานที่มีการจัดสรรเวลาแห่งการพักผ่อน เพราะการพักผ่อนเพียงแค่ 5-10 นาที ในการพักผ่อนร่างกายและสมองของคุณ จะช่วยทำให้คุณเกิดไอเดียในการทำงานเพิ่มมากขึ้นหรือสามารถแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ ในการทำงานได้ดี เนื่องจากธรรมชาติของคนเรา ไม่ว่าจะทำงานหักโหมหรือขยันเพียงใด สุดท้ายร่างกายและสมองต้องได้รับการพักผ่อนเช่นเดียวกัน ไม่อย่างนั้นความเครียดได้เข้ามาแทรกแซงขณะที่กำลังทำงานอยู่แน่นอน เพราะฉะนั้น จึงทำให้เกิดโมเดลต่าง ๆ ที่จะเข้ามาช่วยจัดสรรเวลาในการทำงานและการพักผ่อนเพื่อทำให้สมองปลอดโปร่ง โล่งสบาย ปลอดภัยจากความเครียด ซึ่งวิธีการจัดสรรเวลาในการทำงานควบคู่ไปกับการพักผ่อนนั้น สามารถปฏิบัติได้ ดังนี้

  • เริ่มจากการสร้างตารางงานทั้งหมดที่มี เรียงลำดับความสำคัญและความยากง่ายของงานที่ได้รับมอบหมาย เพื่อที่จะสามารถมองหาช่วงเวลาในการพักผ่อนแทรกเข้าไปให้ร่างกายและสมองได้ผ่อนคลายบ้าง

  • จากนั้นให้เลือกทำงานที่มีกำหนดส่งหรือความสำคัญมากที่สุดทำก่อน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพะวง จนกระทั้งเกิดความเครียดว่างานจะไม่เสร็จหรือทำงานไม่ทันกำหนดส่ง

  • ควรเลือกทำงานที่มีความยากหรือต้องใช้ความคิดมากที่สุดก่อน เพราะเมื่อไหร่ที่สามารถทำงานยากให้ผ่านพ้นไปได้แล้วนั้น เราจะรู้สึกเหมือนการยกภูเขาก้อนโตออกจากอก ความเครียดที่จะต้องทำงานในระดับยาก ๆหรือมีความซับซ้อนของงาน จะได้รับการผ่อนคลายโดยเร็ว หลังจากนั้นการทำงานที่มีระดับความง่ายทีหลังก็จะสามารถกระทำได้อย่างราบรื่น สบาย ๆ ไม่ทำให้หนักสมองของเรามากจนเกินไป

  • ระหว่างเวลาในการทำงาน ควรแบ่งเวลาพักสมอง พักร่างกายจากการทำงานนาน ๆ สัก 10-15 นาที เพราะระยะเวลาเพียงแค่ 10-15 นาทีนั้นมากพอที่จะทำให้สมองของเราได้รีเช็ตตัวเองใหม่อีกครั้ง ทำให้การทำงานไม่ตึงเครียดจนเกินไป แถมสร้างความสุขในการทำงานอีกด้วย

6. หาเวลาทำสิ่งที่ชื่นชอบ

        เมื่อเกิดสภาวะความเครียดเข้ามาแทรกซ้อนในการดำรงชีวิตหรือเวลาในการทำงาน คงเป็นเรื่องน่าหงุดหงิิดไม่ใช่น้อยสำหรับใคร หลาย ๆ คน นอกจากจะทำให้ไม่มีความสุขในการใช้ชีวิตแล้ว เวลาทำงานก็ส่งผลให้สมองตื้อคิดอะไรไม่ออกอีกด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลาว่างจากการทำงานหรือเวลาผ่อนคลายในช่วงวันหยุด อย่าพลาดที่จะมองหากิจกรรมคลายเครียด ทำอะไรสนุก ๆ ในสิ่งที่คุณชอบ เพื่อกระตุ้นต่อมความสุข สดใสร่าเริงของตัวคุณขจัดความเครียดได้อย่างสบาย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ถ่ายภาพ ฟังเพลง ปลูกต้นไม้ เดินทางไปยังสถานที่ที่ชอบ งานประดิษฐ์ เย็บปักถักร้อยสิ่งของต่าง ๆ และอื่น ๆ อีกมากมาย เมื่อคุณได้ทำกิจกรรมในสิ่งที่ชอบแล้ว ร่างกายก็จะหลั่งสารเอ็นโดฟิลออกมาจำนวนมาก รับรองว่าคราวนี้ คุณจะไม่รู้เลยว่าความเครียดคืออะไร เพราะชีวิตของคุณได้รับการผ่อนคลายไปเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งการลงมือทำในสิ่งที่คุณชื่นชอบ นอกจากจะได้ความสุขและรอยยิ้มแล้ว ยังสามารถสร้างรายได้เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่มอบกำไรชีวิตให้กับเรา เช่น การปลูกต้นไม้ สามารถนำต้นไม้ที่ปลูกไปสร้างเป็นธุรกิจขายต้นไม้ การนำชิ้นงานประดิษฐ์ไปขาย การรับจ้างถ่ายภาพ เป็นต้น เรียกได้ว่าเวลาเพียงเล็กน้อยที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบจะมอบคุณค่าและผลพลอยได้ต่อชีวิตของเราได้มากถึงเพียงนี้

7. พักจากการจ้องหน้าจอบ้าง

        จ้องหน้าจอนาน ๆ ระวังน็อตในร่างกายหลุด ต้องมานั่งไขกันใหม่เพื่อทำให้ร่ายกายไม่ห่อเหี่ยว หลังจากที่จ้องหน้าจอเป็นเวลานาน ๆ ไม่ว่าจะเป็นการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ การจ้องหน้าจอโทรศัพท์ หรือแม้กระทั้งการจ้องหน้าจอโทรทัศน์ก็ตาม หากขึ้นชื่อว่าเป็นการจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน ๆ แล้วนั้น ผลกระทบหลักที่ต้องสร้างความเสียหายมากที่สุดจากการจ้องหน้าจอนาน ๆ นั่นก็คือสายตาหรือดวงตาของเรานั่นเอง แต่ผลเสียจากการจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน ๆ ไม่เพียงแค่ดวงตาเท่านั้นที่ได้รับความเสี่ยง อวัยวะอื่น ๆ ในร่างกายของเราก็เสี่ยงไปด้วยเช่นกัน เช่น การที่ปวดศีรษะเรื้อรัง หรือการปวดกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่เรื้อรัง เป็นต้น ล้วนได้รับผลเสียมาจากการจ้องหน้าจอทั้งสิ้น เมื่อไหร่ที่ร่างกายของเราได้รับอาการบาดเจ็บ แน่นอนว่า ขณะนั้นเท่ากับเรากำลังร้องเรียกให้ความเครียดเข้าใกล้เรามากขึ้นทุกทีและเมื่อไหร่ที่ความเครียดเข้ามากัดกินเรา เมื่อนั้นจะทำให้ระบบร่างกายของเราทำงานแปรปรวนและผิดปกติไปจากเดิม เพราะฉะนั้นเรามาป้องกันความเครียด โดยการหยุดจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน ๆ ด้วยกันนะคะ พร้อมทั้งเลือกวิธีการบริหารดวงตาเพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย ลดอาการเมื่อยล้าของดวงตาจากการจ้องหน้าจอ ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

  • การกระพริบตาถี่ ๆ ติดกันประมาณ 10 วินาที

  • การกลอกตาไปมา เริ่มจากการกลอกตาไปข้างซ้าย นับ 1-10 จากนั้นกลอกตาไปทางขวา นับ 1-10 เปลี่ยนจากการกลอกตาซ้ายขวา เป็นการกลอกตาจากบนลงล่าง โดยการกลอกตาขึ้นข้างบน นับ 1-10 และเปลี่ยนเป็นกลอกตาลงล่าง นับ 1-10

  • การหลับตา 5 นาที ขณะที่หลับตาสามารถกลอกตาไปมาเพื่อเป็นการขยับกล้ามเนื้อตาไปด้วยหรือจะหลับตาเฉย ๆ เพียง 5 นาทีได้เช่นกัน

        วิธีการข้างต้น จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อบริเวณดวงตานั้นแข็งแรงขึ้นและถือเป็นการพักผ่อนสายตาจากการจ้องหน้าจอเพื่อการผ่อนคลาย นอกเหนือจากการบริหารสายตาหรือดวงตาแล้ว อีกหนึ่งวิธีที่จะสามารถช่วยให้พักสายตาจากการจ้องหน้าจอนาน ๆ ได้ นั่นก็คือ การหากิจกรรมอื่น ๆ ทำ เช่น การลุกไปสูดอากาศเพื่อละจากการจ้อหน้าจอ เป็นต้น สิ่งนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีในการป้องกันไม่ให้เราต้องพบเจอกับความเครียดนั่นเอง

สิ่งที่ไม่ควรทำ

1. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

        ถึงแม้ว่าจะมีการพูดถึงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น ช่วยขจัดความเครียดและทำให้เกิดความสุขขณะดื่มได้ แต่การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากจนเกินไป ส่งผลต่อระดับความตึงเครียดให้มากขึ้นได้เช่นกัน การดื่มแอลกอฮอล์ จึงเปรียบเสมือนดาบสองคมที่มีทั้งคุณประโยชน์และโทษอยู่ในสิ่งเดียวกัน หากเกิดคำถาม ทำไมการลดความเครียด คือการลด ละ เลิกการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะสุดท้ายแล้วฤทธิ์ของแอลกอฮอล์คือพิษร้ายที่น่ากลัว หากเราดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จนกระทั้งเกิดความมึนเมา นั่นหมายความว่าตัวเราจะไม่สามารถควบคุมสติ อารมณ์หรือความรู้สึกของเราได้เหมือนเวลาที่เกิดข่าวการทำร้ายร่างกายกันขึ้นเพราะต่างฝ่ายต่างมึนเมา นั่นจึงเป็นเหตุผลชี้ชัดว่าการดื่มเครื่องดื่มแอกกอฮอล์นั้น สร้างความเสียหายและก่อให้เกิดความเครียดได้อย่างไร เพราะฉะนั้นการหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์คือทางออกในการลดความเครียด เราควรมองหากิจกรรมลดความเครียดและเสริมสร้างความสุขในชีวิตของเราที่จะไม่นำพาโทษมาแก่ตัวเราในภายหลังอย่างเครื่องดื่มแอกกอฮอล์นะคะ

2. การเสพติดสารเสพติดชนิดต่าง ๆ

        สารเสพติดที่ให้ความสุขเราเพียงชั่วขณะ การหลอกล่อให้เราร่าเริงก่อนที่จะทำลายชีวิตทั้งหมดของเราที่มีลงไปในพริบตา เมื่อพูดถึงการเสพติดสารเสพติด จะทำให้นึกถึง ยาเสพติดเพียงอย่างเดียว แต่จริง ๆ แล้วสารเสพติดนั้นมาในรูปแบบของสสารใด ๆ ก็ตามที่ทำให้เราติดหนึบไม่สามารถเลิกเสพได้ ไม่ว่าจะเป็นสารละเหย ผงเสพติด และสสารประเภทอื่น ๆ ที่เสพเพียงไม่กี่นาทีก็ทำให้เข้าไปอยู่ในโลกเสมือนจริงหรือที่เรียกว่า ภาพหลอน ผลลัพธ์ข้างเคียงที่ร้ายแรงมากที่สุดเมื่อตกอยู่ในสภาวะติดสารเสพติด ความรุนแรงที่มักเกิดขึึ้นจากการเสพสิ่งเสพติดเข้าไปลุกลามทำลายระบบประสาทและสมอง เครียดนอนไม่หลับ เกิดการก่อตัวของภาพหลอนในหัวที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบให้เกิดความกลัว วิตกกังวล กดดันชีวิต ความรู้สึกและอารมณ์ที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็นต้นตอของสภาวะความเครียดทั้งสิ้น และเมื่อไม่สามารถหลุดพ้นจากสารเสพติดได้ หมกมุ่นอยู่กับสิ่งเสพติดจนทำให้กลายเป็นบุคคลที่ปีกตัวออกห่างจากทุกสิ่งอย่างรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน หรือเกิดการปฏิเสธเข้าร่วมกับคนในสังคม ทำให้ตนเองเกิดความโดดเดี่ยว จะเห็นได้ว่า เมื่อไหร่ที่ชีวิตของเราเริ่มเข้าไปคลุกคลีกับสารเสพติด สิ่งเสพติดต่าง ๆ จะค่อย ๆ พรากทุก ๆ อย่างไปจากตัวเรา จนทำให้เราเกิดความเครียดที่ไม่สิ้นสุดและอาจนำไปสู่ความสูญเสียที่ไม่อาจประเมินค่าได้ เพียงแค่เราขยับถอยห่างหรือตัดขาดจากสิ่งเสพติด เราจะสามารถยับยั้งความเครียดไม่ให้เกิดขึ้นกับตัวเรา

        เมื่อไหร่ที่เริ่มรู้สึกว่าตนเองกำลังจะตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด เกิดความกังวลใจ เกิดความกลัวหรือเกิดความไม่สบายใจในเรื่องใด ๆ ก็ตาม เราจะสามารถหลุดพ้นมาจากความตึงเครียดได้ด้วย 7 กิจกรรมช่วยลดความเครียดที่ทิสโก้ออโต้แคชนำเสนอให้ทุก ๆ คนในข้างต้น รวมทั้งสิ่งต้องห้ามที่ไม่ควรทำเพื่อให้เราห่างไกลจากความเครียด ไม่ว่าในชีวิตของเรา จะต้องพบเจอกับอุปสรรคหรือสถานการณ์ใดก็ตามที่ไม่พึงประสงค์ ทิสโก้ออโต้แคช เราขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนสามารถฝ่าฟันกับความยากลำบากเหล่านี้ไปได้ จงเชื่อมั่นเสมอว่าฟ้าหลังฝนที่สว่างสดใสรอเราอยู่เสมอ อีกหนึ่งเคล็ดลับสุดยอดที่สามารถช่วยลดความเครียดทิ้งท้ายไว้ในบทความนี้ นั่นก็คือ การที่เราสามารถปรับความคิดและเปลี่ยนมุมมองในเรื่องบางเรื่องที่มันทำร้ายเรา ให้มองหาข้อดีที่ได้เรียนรู้จากสิ่งนั้น เพียงเท่านี้ก็บอกลาความเครียดได้ไปอีกนาน