เช็ครถให้ชัวร์ ก่อนออกทัวร์ ช่วงฤดูฝน
เริ่มต้นสตาร์ทรถเพื่อเตรียมออกเดินทาง อยู่ ๆ ฝนก็ตกลงมาแบบดื้อ ๆ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องขับรถท่ามกลางฝนตกอยู่ดี เป็นแบบนี้ จึงอดคิดไม่ได้ว่าการขับรถช่วงฝนตกมันจะอันตรายขนาดไหนกันนะ สุดท้ายความคิดนั้นก็หลุดออกไปพร้อมกับเท้าที่กำลังเหยียบคันเร่งเพื่อขับรถฝ่าฝนไปเรื่อย ๆ แต่แล้วความคิดเดิม ๆ ก็วนกลับมาในหัวของเรา ขณะที่เรากำลังขับรถช่วงฝนตก เราจะขับขี่ปลอดภัยไหมนะ
ดังนั้นในการขับขี่บนท้องถนน ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถควบคุมสายฝนได้ แต่เราก็สามารถควบคุมอันตรายที่จะเกิดขึ้นขณะขับรถช่วงฝนตกได้ เราจะต้องเตรียมความพร้อมในการเช็คสภาพรถก่อนออกเดินทางเพื่อการขับขี่ปลอดภัยช่วงฤดูฝนนะคะ สิ่งหนึ่งที่สำคัญในการเช็คสภาพรถก่อนออกเดินทาง นั่นก็คือ การตรวจเช็คอะไหล่รถนั่นเอง เพื่อช่วยในการลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นได้ในช่วงฤดูฝน เรามาเริ่มตรวจเช็คอะไหล่รถไปพร้อม ๆ กันเลยนะคะ
1. ระบบเบรค
บ่อยครั้งที่เรามักจะได้ยินข่าวอุบัติเหตุที่มักจะเกิดขึ้นขณะขับรถช่วงหน้าฝน สาเหตุก็เพราะถนนลื่น ควบคุมรถไม่อยู่ ส่วนหนึ่งก็เพราะระบบเบรครถของเราที่มันกำลังเสื่อมสภาพ ดังนั้น เราสามารถเช็คระบบเบรครถของเราเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ได้ดังนี้
- เมื่อไหร่ที่เรากำลังเหยียบเบรค แล้วได้ยินเสียงครืด ๆ หรือเสียงแหลม ๆ ออกมา นั่นก็เพราะว่าผ้าเบรครถกำลังเสียดสีกับจานรองเบรกรถของเราอยู่ ซึ่งเกิดจากผ้าเบรคที่กำลังจะหมดเป็นสัญญาณเตือนที่ถึงเวลาเปลี่ยนผ้าเบรคแล้วนะคะ
- เมื่อเท้าของเรากดเบรคแล้วรู้สึกว่า เบรคตอบสนองช้ากว่าปกติ จะต้องกดเบรคลึกลงไปกว่าเดิม เพื่อที่จะทำให้รถหยุดหรือชะลอความเร็วลงได้ สาเหตุก็มาจากผ้าเบรคที่กำลังจะหมดนั่นเอง เพราะฉะนั้น จึงต้องรีบเปลี่ยนผ้าเบรคก่อนที่ครั้งหน้ารถของเราจะเบรคไม่อยู่เสี่ยงต่อการเกิดเหตุไม่คาดฝัน เราจึงต้องช่วยกันป้อนกันอุบัติเหตุนะคะ
ขณะเหยียบเบรคแล้วรู้สึกว่าเบรคสั่น หรือบางครั้งที่เบรคเกิดอาการสั่นมาก ๆ ไปจนถึงพวงมาลัยรถหรือรถสั่นทั้งคัน บ่งบอกได้ว่าถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนจานรองเบรคแล้วนะ เพราะอาการรถสั่น ขณะเบรค สาเหตุก็เพราะจานรองเบรคนั้น เกิดอาการคดหรือบิดจากการที่เราใช้งานจานรองเบรคมากเกินไป หรือบางครั้งที่เราขับรถช่วงหน้าฝนลุยน้ำท่วม เมื่อจานรองเบรคที่ร้อนจัดกระทบกับน้ำ จึงทำให้จานรองเบรคคดหรือบิดตัวได้ ดังนั้นเมื่อเราสังเกตถึงอาการต่าง ๆ เหล่านี้ได้ก็จะทำให้เราสามารถดูแลรักษารถได้ทัน ป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนนได้นะคะ
2. การตรวจสภาพยางรถ
ยางรถก็เปรียบเสมือนขาที่เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของเราที่จะช่วยขับเคลื่อนเราให้เคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ ดังนั้นหากเราดูแลรักษาขาของเราให้แข็งแรง ไม่ว่าเราจะเดินหรือจะวิ่งก็ไม่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บใด ๆ ยางรถก็เช่นกันหากเราดูแลรักษายางรถอย่างดี ไม่ว่าเราจะขับรถด้วยความเร็วเท่าไหร่ก็ตาม หรือการขับรถช่วงหน้าฝนที่มักเป็นอุปสรรคในการขับขี่ หากยางรถของเราสภาพดี การขับรถช่วงหน้าฝนก็จะปลอดภัย ซึ่งวิธีการสังเกตเพื่อตรวจสภาพยางรถของเรานั้น มีอาการดังนี้
- เข้าโค้งเมื่อไหร่ รถลื่นไถลทุกที หากรถของคุณกำลังมีอาการนี้ จะต้องเปลี่ยนยางรถแล้วนะคะ เมื่อไหร่ที่คุณขับรถเข้าโค้งด้วยความเร็วเท่าเดิม แต่ครั้งนี้รถกลับลื่นสะงั้น สาเหตุมาจากดอกยางรถของเรากำลังจะหมด ดังนั้น ทางที่ดี อย่าลืมนำรถไปเปลี่ยนยางเพื่อการป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนนค่ะ
- ขับรถในขณะที่ฝนตกแล้วรู้สึกว่าเหยียบคันเร่งเท่าไหร่ก็เร่งไม่ขึ้นสักที นั่นเป็นอาการของลมยางรถที่เริ่มอ่อนลงไปทุกที ยิ่งเมื่อฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมถนนแล้วหละก็ รถที่ยางลมอ่อนเวลาขับขี่จะทำให้รู้สึกฝืด ๆ เมื่อยางสัมผัสกับผิวของถนน แน่นอนว่าเราจะต้องเหยียบคันเร่งอย่างหนักเพื่อจะให้รถขับเคลื่อนไปได้ อาจจะส่งผลให้สิ้นเปลืองน้ำมันอย่างมาก ทางที่ดีเราควรที่จะเติมลมยางให้พอดีหรือมากกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อทำให้หน้ายางแข็งและรีดน้ำได้ดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันจะต้องระมัดระวังในการขับขี่เพราะเมื่อยางรถแข็งตรึงอาจจะลดประสิทธิภาพในการเกาะถนน ซึ่งทำให้เวลาขับขี่รถจะกระเด้งหรือสะเทือนได้ ซึ่งถ้าเราช่วยกันรักษาความเร็วรถ ขณะขับขี่ก็จะช่วยลดอุบัติเหตุได้นะคะ
หากลองนึก ๆ แล้วพบว่า สภาพยางของเรามีครบทุกอาการ หรือมีอย่างน้อย ๆ หนึ่งอาการที่เล่ามาก็อยากให้พิจารณาเปลี่ยนยางเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่นะคะ
3. น้ำยาฉีดกระจกรถ
ฝนก็ตกอยู่แล้ว จะฉีดน้ำไปเพื่ออะไร ยังไงน้ำฝนก็ช่วยชะล้างกระจกหน้ารถแล้ว หลายคนคงตั้งคำถามนี้ขึ้นมาในหัวอยู่ใช่ไหมหละคะ แท้ที่จริงแล้วน้ำยาฉีดกระจกรถกลับมีความสำคัญในขณะขับรถช่วงฝนตกที่ไม่ควรมองข้าม เพราะคราบฝุ่น โคลน และดินที่ถูกพัดหรือกระเด็นติดหน้ารถ เมื่อฝนหยุดตก สิ่งสกปรกเหล่านั้นจะกลายเป็นคราบที่ติดอยู่หน้ากระจกรถของเรา บดบังการมองเห็นขณะขับขี่รถได้ค่ะ เราจึงต้องใช้น้ำยาฉีดกระจกเพื่อให้คราบต่าง ๆ หลุดออกไป ดังนั้นก่อนออกเดินทางในหน้าฝนแบบนี้ อย่าลืมที่จะตรวจเช็คสภาพรถ โดยเฉพาะน้ำยาฉีดกระจกรถด้วยนะคะ ซึ่งมีวิธีสังเกตได้ง่าย ๆ ดังนี้
- กดฉีดน้ำยากระจกหน้ารถเท่าไหร่ ก็ไม่เห็นมีน้ำยาออกมาเลย หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหานี้ แสดงว่ามีสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตันอยู่บริเวณหัวฉีด จึงทำให้น้ำยาไม่สามารถถูกพ่นออกมาได้ ซึ่งมีวิธีแก้ไขได้ง่าย ๆ ก็คือการนำเข็มหรือไม้แหลมๆ มากระทุ้งสิ่งสกปรกเหล่านั้นออกไป แต่ต้องลงมืออย่างระมัดระวังนะคะ อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้น้ำยาไม่ถูกพ้นออกมาอาจจะเป็นเพราะท่อลำเลียงน้ำยาแตกหรือรั่ว ดังนั้นจะต้องตรวจให้ดีว่าท่อลำเลียงส่วนไหนที่ทำให้น้ำยารั่วไหลออกมาเพื่อที่เราจะได้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันค่ะ ทั้งนี้เพื่อให้กระจกหน้ารถของเราใสสะอาด การมองเห็นเส้นทางก็จะชัดเจนขึ้น เป็นการลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ
4. ที่ปัดน้ำฝน
ไม่ว่าฝนจะตกหนักแค่ไหนที่ปัดน้ำฝนก็เอาอยู่ทุกสถานการณ์ ถือว่าเป็นไอเทมสำคัญในการขับขี่รถช่วงฤดูฝนเพราะจะช่วยทำให้เราสามารถมองเห็นเส้นทางในการขับขี่ได้ชัดเจนขึ้นเมื่อฝนตก เมื่อที่ปัดน้ำฝนสำคัญในการขับรถขนาดนี้ เราจะต้องตรวจเช็คอะไหล่รถอย่างที่ปัดน้ำฝนอย่างไรหละ ที่จะรักษาความคงทนในการใช้งานไปอีกนาน ซึ่งวิธีการตรวจสภาพที่ปัดน้ำฝนไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด แค่สังเกตรถของเราสักนิดก็จะรู้แล้วว่าเราควรดูแลรักษาที่ปัดน้ำฝนอย่างไร
- เสียงดังเอี๊ยด ๆ เกิดขึ้น เมื่อเราเริ่มกดที่ปัดน้ำฝน ขณะฝนตกขึ้นมา หากได้ยินเสียงนี้เมื่อไหร่ เราจะรู้ได้ทันทีว่า ยางที่ปัดน้ำฝนของเรานั้นเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เราควรที่จะเปลี่ยนยางที่ปัดน้ำฝนในทุก ๆ 1 ปี เพื่อทำให้เวลาเราปัดน้ำฝนจะได้ไม่มีเสียงดังรบกวนและลดอุบัติเหตุขณะขับขี่รถค่ะ
- ขณะที่ ที่ปัดน้ำฝนกำลังปัดไปมาอยู่นั้น อยู่ดี ๆ ก็เกิดอาการสะดุด กระตุกขึ้นมาเฉย ๆ นั่นก็เพราะว่าที่ปัดน้ำฝนของเรากำลังเริ่มเสื่อมสภาพลงไปทุกที ทางที่ดีจะต้องหาทางเปลี่ยนที่ปัดน้ำฝนโดยเร็วที่สุดนะคะ เพื่อเราจะได้มองเห็นถนนชัดเจนตอนขับรถ ขณะฝนตก ทำให้เราขับขี่ปลอดภัยบนท้องถนน
- ใช้ที่ปัดน้ำฝนเท่าไหร่ ปัดไปปัดมาก็ไม่สะอาดเสียที แถมยังทิ้งคราบไว้เต็มกระจกรถ ส่งผลให้มองไม่เห็นเส้นทางเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงในการขับขี่ขณะฝนตกได้ไม่น้อย ดังนั้น เมื่อเราสังเกตว่าที่ปัดน้ำฝนของเรา ปัดกระจกแล้วยิ่งทำให้กระจกมัวหมองเข้าไปใหญ่ ให้เรารู้ไว้ว่าเป็นเพราะใบปัดน้ำฝนกดลงไปที่กระจกน้อยลงหรือยางใบปัดน้ำฝนเกิดการฉีกขาด จึงทำให้ปัดกระจกไม่สะอาดนั่นเอง เราจึงควรเปลี่ยนใบปัดน้ำฝน เพื่อความปลอดภัยช่วงฤดูฝนนะคะ
5. ระบบไฟรถ
บนท้องถนนที่ฝนตกหนักจนมองไม่เห็นทัศนียภาพในการขับรถหน้าฝนนั้นเป็นไปได้อย่างยากลำบาก นอกจากจะต้องคอยระวังในการขับรถของตัวเองแล้ว จะต้องระมัดระวังรถที่ขับอยู่รอบ ๆ บนท้องถนนอีกด้วย ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นในการให้สัญญาณที่ดีระหว่างขับรถในฤดูฝน คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกสะจาก ไฟรถ ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟท้าย ไฟกระพริบหรือไฟฉุกเฉิน ไฟตัดหมอกและไฟเบรค ล้วนแล้วมีความหมายในการขับรถทั้งสิ้น ซึ่งจะช่วยให้ลดอุบัติเหตุในขณะขับขี่ตอนที่ฝนกำลังตกอยู่ ซึ่งเราสามารถตรวจเช็คอะไหล่รถที่เป็นระบบไฟรอบ ๆ คันรถได้ดังนี้
- เปิดไฟรถอยู่ดี ๆ ก็กระพริบขึ้นมาถี่ ๆ สะงั้น เป็นลางบอกเหตุให้เจ้าของรถรู้ไว้ว่า จะต้องนำรถไปเปลี่ยนหลอดไฟได้แล้วนะ เพราะนี่คือสาเหตุที่ทำให้ไฟหน้า ไฟหลังหรือไฟบริเวณรอบ ๆ รถขาดหรือเสื่อมสภาพค่ะ
- เมื่อเปิดไฟเลี้ยว แต่กลับได้ยินเสียงรีเลย์ (เสียงสวิทช์ไฟเปิดปิด) ดังขึ้นผิดปกติก็แปลได้ว่า มีไฟเลี้ยวหลอดใดหลอดหนึ่งขาด ไม่ว่าจะเป็นหลอดไฟด้านหน้าหรือด้านหลังก็ตาม ดังนั้นอย่ารีรอที่จะไปเปลี่ยนหลอดไฟเพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการขับรถช่วงหน้าฝนนะคะ
เมื่อเราเช็คสภาพรถให้ชัวร์แล้ว อาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยคลายความกังวลที่เราได้ตั้งคำถามไว้ในตอนแรกว่า การขับรถช่วงฝนตกมันจะอันตรายขนาดไหนกันนะ ในตอนนี้เราคงมีคำตอบให้กับคำถามนี้แล้วว่า ถ้ารถของเราอยู่ในสภาพที่ดีพร้อมสำหรับการใช้งานแล้วนั้น พอเราเริ่มออกเดินทางช่วงหน้าฝนแบบนี้ก็จะสบายใจหายห่วงได้เลยนะคะ นอกจากการตรวจสภาพรถก่อนออกเดินทางแล้ว หากใครที่กำลังมองหาแหล่งรายได้เสริมอยู่หละก็ เราขอแนะนำสินเชื่อจำนำทะเบียนรถทิสโก้ออโต้แคช เช็คสภาพรถแล้ว สามารถเช็คราคาประเมินรถได้ด้วยนะคะ ด้วยความปรารถนาดีจากทิสโก้ออโต้แคช